#เรื่องบน The Avengers เหล่าฮีโร่ชื่อดังพากันมากู้โลก , เรื่องล่าง From up on Poppy Hill หวานซึ้งตรึงใจความรักหลังสงคราม
เรื่องแรก ดูที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ปิ่นเกล้า “The Avengers” เหล่าฮีโร่แห่ง Marvel ยกขโยงกันมาบู๊ดะฉะมันส์ หนังที่น่าดูและเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุดในตอนนี้ ก็โอเคค่ะ สนุกดี ไม่ประทับใจเท่าที่คิด หนึ่งในสาเหตุคือเคยดูเรื่องหลักฮีโร่แต่ละตัวสมัยยังเด็ก ลืมไปหมดเกลี้ยงแล้ว สำหรับคนที่ยังจำได้คงมีอรรถรสกว่านี้มาก ที่ยังพอจำได้ก็ Iron Man กับ Hulk นี่แหละ แล้วในเรื่องนี้พี่แกก็ทั้งเจ๋งทั้งฮา บทเด่นที่สุดต้องยกให้โทนี่ สตาร์คจริงๆ ค่ะ
ซึ่งฮีโร่ในชุดนี้ก็ประกอบไปด้วย Iron Man , The Incredible Hulk , Captain America , Thor , Hawkeye , Black Window ส่วนตัวร้ายที่แลดูกากๆ ก็น้องชายของ Thor นาม Loki (ในเรื่องพี่แกโดนยำเละพอตัว ..อาเมน)
เนื้อเรื่องก็ประมาณว่าหน่วย S.H.I.E.L.D องค์กรลับของอเมริกาได้ถูกโลกิขโมย The Cube ลูกบาศก์สีฟ้า ผลงานวิจัยของหน่วยชีลด์ไปเพื่อให้ตนมีพลังไร้ขีดจำกัดและทำลายล้างโลกเพราะทะนงว่าตนเป็นเทพเหนือกว่ามนุษย์ Nick Fury ผู้นำหน่วยชีลด์จึงปิ๊งไอเดียคิดสร้างโปรเจ็คต์ The Avengers รวมฮีโร่มาเอาลูกบาศก์คืนเพื่อช่วยกู้โลก แต่ปัญหาคือฮีโร่แต่ละคนมีความแตกแยกไม่ลงรอยกันตามประสา “ฮีโร่ฉายเดี่ยว” แล้วจะกู้โลกกันอย่างไรต้องไปตามดูกันเอง
ในเรื่องหน่วยชีลด์จะมีฐานทัพเป็นยานลำเบ้งสุดเจ๋งที่นอกจากเหาะได้แล้วยังพลางตัวได้อีก ดูๆ ไปก็เหมือนเอาเรือประจัญบานจากเรื่อง Battleship ที่บูมสุดๆ ก่อนเรื่องนี้มาผสมนะ (อยากบอกว่าประทับใจแบทเทิ่ลชิปมากกว่าดิอเวนเจอร์สซะอีกแหน่ะ) หนังในช่วงแรกน่าเบื่อเพราะต้องอธิบายโน่นนี่เยอะ พูดมากนั่นเอง แต่ก็ยังมีมุกแทรกเป็นระยะคลายเบื่อได้บ้าง ส่วนไคลแม็กซ์ก็จัดว่าทำได้ตื่นตามันส์พอสมควร แต่มันก็สู้กันแบบตัวใครตัวมัน ไม่ได้สามัคคีอะไรกันอย่างที่ควรจะเป็น แต่ฮีโร่บางคนก็แลดูกากเหลือเกิน ไม่ขอเอ่ยนาม แล้วแต่ท่านจะดูแล้วคิดเอง (-_-)> ส่วนเรื่องเอฟเฟ็กต์ก็เทพอย่างไม่ต้องสงสัยค่ะ มาร์เวลขายความเท่ของเหล่าฮีโร่ได้มากพอสมควร สิ่งที่หนุนเรื่องนี้ให้ขายดีก็ความดังอยู่แล้วจากภาคหลักน่ะแหละ ตอนเอนด์เครดิทมีการทิ้งท้ายว่าต้องมีภาคต่อแต่ก่อนหน้านี้คงมีภาค 2-3 ของฮีโร่แต่ละตัวก่อนแน่นอน
มาถึงเรื่องที่สอง ฉายเฉพาะที่ Apex Lido , Scala Theatre โรงหนังสยามเท่านั้นนะคะ “From Up On Poppy Hill” หรือในชื่อไทยว่า “ป็อปปี้ ฮิลล์ ร่ำร้องขอปาฏิหารย์” อนิเมชั่นจาก Studio Ghibli ที่สร้างสรรค์เรื่องราวสุดน่าประทับใจมานับแล้วไม่ถ้วน ถือเป็นอีกหนึ่งความน่าภูมิใจของชาวญี่ปุ่นเลยทีเดียว โดยเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากมังงะของ Tetsuo Sayama และ Chizuru Takahashi เขียนโดย Hayao Miyazaki กำกับโดย Goro Miyazaki และคว้ารางวัล Tokyo Anime Awards 2012 ไปแล้ว 3 รายการ
เนื้อเรื่องได้ย้อนไปยังปี 1963 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ณ โยโกฮาม่า มัตสึซากิ ยูมิ (อูมิ) อายุ 16 ปี ลูกสาวคนโตผู้ขยันขันแข็ง มีหน้าที่รับผิดชอบงานจิปาถะภายในบ้านที่เคยเป็นโรงพยาบาลมาก่อน ทุกๆ เช้ายูมิจะออกมาชักธงสัญญาณขึ้นเสา เพื่อรำลึกถึงพ่อที่เป็นกัปตันเรือ แต่ได้จากไปในสงครามเกาหลี พ่อบอกว่าธงจะเป็นเครื่องหมายบอกทางให้พ่อกลับมาบ้านถูก เธอยังคงทำมันทุกวันแม้ว่าพ่อจะไม่กลับมาหลายปีแล้วก็ตาม วันหนึ่งได้มีบทความสั้นๆ เกี่ยวกับการชักธงสัญญาณของยูมิในหนังสือพิมพ์โรงเรียนโคนันที่เธอเรียนอยู่ แต่ไม่บอกว่าใครเขียน และเธอก็บังเอิญได้รู้จักกับ คาซาม่า ชุน ชายหนุ่มอายุ 17 ปี โรงเรียนเดียวกัน เขาเป็นบรรณนาธิการชมรมหนังสือพิมพ์ ซึ่งในขณะนั้นมีปัญหาเรื่องที่ตึกชมรมชื่อ Quartier Latin จะถูกทุบทิ้งสร้างใหม่เพราะปีหน้าญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก เหล่าสมาชิกชมรมไม่ยอมเพราะตึกเก่าแก่นี้เต็มไปด้วยความทรงจำต่างๆ แต่นักเรียน 80% เห็นว่าควรจะสร้างตึกใหม่ที่สวยงามแทนตึกโบราณคร่ำครึผุพัง ทำให้เกิดการแตกแยกกันในโรงเรียน ยูมิจึงออกไอเดียให้ทำความสะอาดตึกให้เหมือนใหม่ พวกนักเรียนที่เห็นด้วยจึงมาช่วยกันซ่อมแซมตกแต่งตึกขนานใหญ่กัน ระหว่างนั้นยูมิกับชุนก็สนิทกันมากขึ้นและเกิดเป็นความรัก แต่กลับมีปัญหาใหญ่รอพวกเขาอยู่
ซึ่งชื่อเรื่องภาษาไทย “ร่ำร้องขอปาฏิหารย์” ก็หมายถึงอุปสรรคความรักของยูมิกับชุนนี่แหละ ตอนแรกอ่านเรื่องย่อนึกว่าชื่อเรื่องจะเกี่ยวกับพ่อ-ลูกซะอีก ส่วนชื่อภาษาอังกฤษกับญี่ปุ่น From up on Poppy Hill , Kokuriko-zaka Kara จะสื่อถึงการสิ้นสุดสงครามมากกว่า Kokuriko หรือ Poppy คงจะหมายถึงดอกป็อปปี้สีแดงซึ่งมีความหมายถึงทหารกล้า (ในสงครามโลกครั้งที่ 2) ให้เรารำลึกถึงความเสียสละของพวกเขาเหล่าทหารผ่านศึก
เรื่องนี้เป็นอนิเมะดราม่าที่เรียกน้ำตาคนเซ้นซิทีฟอย่างออยได้ไม่ยากเลย โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่องตอนที่ชุนกับยูมิเริ่มมีปัญหากันนี่กดดันมากค่ะ แต่ตอนจบสำหรับหลายคนอาจจะคิดว่า “กะไว้แล้ว” ไม่น่าแปลกใจ ไม่ลุ้นเลย แต่ออยว่าจุดนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องสนใจ เพราะตามสไตล์จิบลิมันต้องจบแบบโลกสวยอยู่แล้ว สิ่งที่ควรดูคือการดำเนินเรื่องราว ตัวเรื่องจะแฝงไปด้วยความอบอุ่นและงดงามค่ะ สะท้อนถึงความเหงาหลังสงครามโลก และความเข้มแข็งที่ต้องสู้ต่อ บรรยากาศฟีลกู๊ดยังคงกรุ่นกลิ่นอายจิบลิเหมือนเคย สรุปแฟนๆ จิบลิหรือคนที่ชื่นชอบหนังแนวดราม่าและบรรยากาศดีๆ แม้จะไม่ชอบ 2D ก็ไม่ควรพลาดเลยล่ะ
อันนี้ภาพปกหนังที่ถ่ายมาจากลิโด้ ออยชอบชื่อเรื่องภาษาไทยนะ แบบรู้เลยว่าหนังต้องเป็นแนวไหน
Ps1. หนังที่ดู 2 เรื่องนี้ ออยประทับใจป็อปปี้ฮิลล์มากกว่าค่ะ (ดูจากรีวิวก็น่าจะรู้ เรื่องบนรีวิวอย่างเกรียน //ฮา)
Ps2. พร่ำยาวซะเมื่อยนิ้วมือหงิกเลย (พิมพ์ใน iPhone ซะด้วย เอารูปมาลงทีหลัง = =)
Ps3. เดี๋ยวจะซื้อเรื่อง Osamu Tezuka no Buddha / บุดดะ เจ้าชายที่โลกไม่รัก (ชื่อไทยเฟลค่ะ) มาดู แล้วว่างๆ จะมารีวิวให้อ่านค่ะ เรื่องนี้เข้าฉายที่ลิโด้ปลายปีที่แล้ว แต่ออยไม่มีโอกาสไปดูเพราะฉายช่วงน้ำท่วม orz
Repost: 03.05.2012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น